แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2557

พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์: พรรคเพื่อไทยต้องปฏิเสธตุลาการรัฐประหาร

ที่มา Thai E-News

 รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
ตีพิมพ์ครั้งแรกใน “โลกวันนี้วันสุข”
ฉบับวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2557

    คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2557 ที่ให้การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เป็นโมฆะนั้น ไม่ได้เกินกว่าความคาดหมายแต่อย่างใด เหตุผลในเบื้องต้นก็คือ พรรคประชาธิปัตย์ได้คว่ำบาตร ไม่ลงเลือกตั้งในครั้งนี้ ฉะนั้น ถึงอย่างไร พวกจารีตนิยมก็จะไม่มีวันปล่อยให้มีสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ ที่ไม่มีพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นมือเท้าที่ไว้ใจได้ของพวกเขาคอยเคลื่อนไหว ก่อกวนและบ่อนทำลายรัฐบาลพรรคเพื่อไทยจากในสภา

ยิ่งกว่านั้น หากพวกเขาปล่อยให้การเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ สามารถดำเนินไปจนเสร็จสมบูรณ์ แล้วสามารถเรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ได้ ก็จะเป็นสภาที่พรรคเพื่อไทยมีเสียงข้างมากอย่างเด็ดขาดยิ่งกว่าสภาชุดที่ แล้ว เพราะจะมีเพียงพรรคการเมืองขนาดเล็กเป็นฝ่ายค้านเท่านั้น พรรคเพื่อไทยก็จะสามารถเลือกประธานสภาและเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี ตลอดจนตั้งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างชอบธรรมและมีอำนาจเต็มได้ ซึ่งเท่ากับว่า แผนการของพวกเขาที่จะโค่นล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็เป็นอันล้มเหลวในที่สุด

พวกเผด็จการจึงต้อง “ทำแท้ง” สภาผู้แทนราษฎรชุด 2 กุมภาพันธ์ 2557 เสียตั้งแต่ต้น!

แกนนำพรรคเพื่อไทยบางคนแสดงท่าทีอย่างชัดเจนสนับสนุนคำวินิจฉัยของศาลรัฐ ธรรมนูญที่ให้การเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ เป็นโมฆะ โดยเชื่อว่า นี่เป็นหนทางที่จะยุติความขัดแย้งเฉพาะหน้านี้ แกนนำพรรคเพื่อไทยยังเชื่ออีกว่า เนื่องจากฝ่ายจารีตนิยมไม่สามารถบรรลุแผนการเดิมในการโค่นล้มรัฐบาลพรรค เพื่อไทยเพราะการชุมนุมมวลชนของพรรคประชาธิปัตย์ในนาม กปปส. ที่พวกเขาสนับสนุนอยู่เบื้องหลังได้ตกอยู่ในสถานะโดดเดี่ยวและได้อ่อนแรงลง อย่างมาก ขณะที่ฝ่ายทหารก็ไม่ยินดีที่จะลงมือกระทำรัฐประหารตามที่พวกเขาต้องการ พวกจารีตนิยมจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องประนีประนอม โดยให้พรรคประชาธิปัตย์กลับมาลงเลือกตั้ง ซึ่งก็เป็นสิ่งที่แกนนำพรรคเพื่อไทยต้องการพอดี

เมื่อการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์เป็นโมฆะ ก็จะต้องมีการประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งทั่วไปใหม่ ซึ่งครั้งนี้ แกนนำพรรคเพื่อไทยเชื่อว่า พรรคประชาธิปัตย์จะกลับมาลงเลือกตั้งเพื่อต่อสู้ภายในสภาดังเดิม ขณะที่การชุมนุมของ กปปส.ก็จะยุติลง ทุกอย่างก็จะกลับเข้าสู่กรอบการเมืองรัฐสภาภายใต้รัฐธรรมนูญ 2550

แต่นี่ก็เป็นกับดักอีกครั้งหนึ่งที่ฝ่ายจารีตนิยมขุดล่อตระกูลชินวัตรและ พรรคเพื่อไทย เพราะเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น ไม่ใช่เพียงแค่ให้ตระกูลชินวัตรถอยออกไปจากการเมืองเท่านั้น แต่เขาต้องการทำลายขบวนประชาธิปไตยทั้งขบวน ปราบปรามแกนนำและประชาชนฝ่ายประชาธิปไตย ยกเลิกระบบการเมืองแบบเลือกตั้งทั้งหมด แทนที่ด้วยนายกรัฐมนตรีและสภานิติบัญญัติแต่งตั้งภายใต้เสื้อคลุม “ระบอบปฏิรูป” พร้อมทั้งบรรดาบุคคลในตระกูลชินวัตรก็จะต้องถูกดำเนินคดีอาญาถึงจำคุกและถูก อายัดทรัพย์สินดังเช่นที่พ.ต.ท.ทักษิน ชินวัตรได้ถูกกระทำมาแล้ว

เป้าหมายของพวกเขาที่ทำให้การเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์เป็นโมฆะ จึงไม่ใช่เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง แล้วมีนายกรัฐมนตรี รัฐบาลและสภาที่มาจากการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน แต่เพื่อไม่ให้มีการเลือกตั้งใด ๆ อีกต่อไป เพื่อให้นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตรและคณะรัฐบาลอยู่ในสภาพ “รักษาการ” ต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีอำนาจบริหาร ไม่มีอำนาจสั่งการและโยกย้ายข้าราชการ ไม่มีอำนาจแม้แต่จะสั่งจ่ายเงินหรือกู้เงินตามนโยบายรัฐบาล นัยหนึ่ง ให้เป็น “รัฐบาลเป็ดง่อย” ต่อไป เป็นการยื้อสถานการณ์ปัจจุบันเพื่อให้เวลาแก่ตุลาการของพวกเขาดำเนินขั้นตอน เชือดนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งก็คือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) สรุปสำนวนคดีและชี้มูลความผิดนายกรัฐมนตรีในกรณีโครงการจำนำข้าว คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ถ่วงเวลาไม่ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ แต่กลับเร่งจัดการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาในวันที่ 30 มีนาคม ให้เสร็จสิ้นเพื่อเข้ามารับไม้ต่อจากปปช.ทำการถอดถอนนายกรัฐมนตรีออกจาก ตำแหน่ง ซึ่งจะทำให้คณะรัฐมนตรีทั้งชุดสิ้นสภาพในทันทีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 180 และ 182

นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตรและแกนนำพรรคเพื่อไทยจะต้องไม่ตกไปในหลุมพลางของพวกเผด็จการที่มุ่ง จะทำให้พรรคเพื่อไทยหลงทิศผิดทาง มุ่งแยกพรรคเพื่อไทยออกไปจากมวลชนฝ่ายประชาธิปไตย พรรคเพื่อไทยจะต้องเก็บรับบทเรียนจากอดีต นับแต่วิกฤตการเมืองครั้งนี้เริ่มต้นในปี 2549 พวกจารีตนิยมก็ใช้ทั้งมาตรการหลอกลวงให้มึนชาและหลงทาง สลับกับมาตรการรุนแรงมาโดยตลอด โดยพวกเขาจะหลอกลวงในยามที่พรรคเพื่อไทยและฝ่ายประชาธิปไตยเข้มแข็ง แต่จะใช้มาตรการรุนแรงเมื่อพรรคเพื่อไทยกระทำพลาดทางยุทธศาสตร์และแยกตัวจาก มวลชนของตน ทั้งนี้ เป้าหมายที่เสมอต้นเสมอปลายของพวกเขาก็คือ การทำลายล้างตระกูลชินวัตรและขบวนประชาธิปไตยทั้งหมด

ในครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้การเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์เป็นโมฆะ ถึงแม้จะมีการออกพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งอีกครั้งก็ตาม แต่ในที่สุด ก็จะไม่มีการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่อย่างแน่นอน แต่กลับเป็นตรงข้าม สิ่งที่จะตามมาคือ การชุมนุมมวลชนและอันธพาลติดอาวุธของพรรคประชาธิปัตย์จะยังคงดำเนินต่อไปและ ยิ่งรุกไล่กดดันนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลพรรคเพื่อไทยยิ่งขึ้น ทั้งปปช. กกต. ศาลรัฐธรรมนูญ และสมาชิกวุฒิสภากลุ่มสรรหาก็จะยิ่งเคลื่อนไหวประสานกัน เร่งรัดกระบวนการถอดถอนนายกรัฐมนตรี ขณะที่ฝ่ายทหารก็จะยังคงหนุนช่วยกลุ่มมวลชนอันธพาลและให้การปกป้องกลุ่ม ตุลาการต่อไป แล้วก็จะสิ้นสุดด้วยการโค่นล้มนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ตลอดจนทำลายตระกูลชินวัตรและเครือข่ายพรรคเพื่อไทยทั้งหมด

พรรคเพื่อไทยจะต้องเลิก “ฝันหวานมลม ๆ แล้ง ๆ” ชะเง้อรอคอยความเมตตาและ “สัญญาณบวก” จากพวกจารีตนิยมโดยสิ้นเชิง จะต้องเก็บรับบทเรียนจากการถูกหลอกลวงครั้งแล้วครั้งเล่า ตื่นขึ้นจากหลับ แสดงท่าทีอย่างชัดเจนคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีจะต้องแสดงท่าทีชัดเจนไม่ยอมรับคำวินิจฉัยชี้ขาดใด ๆ ของปปช.และศาลรัฐธรรมนูญที่ขัดต่อหลักนิติธรรม ตลอดจนแสดงจุดยืนที่จะอยู่ในตำแหน่งต่อไปและจะไม่ออกจากตำแหน่งด้วยกระบวน การใด ๆ ที่ขัดต่อหลักการประชาธิปไตย

ในการนี้ ทุนทางการเมืองที่สำคัญที่สุดของนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทยก็คือ ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยหลายล้านคนทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประชาชนในภูมิภาคเหนือ-อีสาน-กลาง ที่มีประสบการณ์ผ่านการต่อสู้กับเผด็จการมานานถึงแปดปี เป็น “ผนังทองแดงกำแพงเหล็กอันแท้จริง” ที่ปกป้องและค้ำยันพรรคเพื่อไทยตลอดมา

นายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทยจะต้องตระเตรียมการถอยออกจากสมรภูมิที่ฝ่าย เผด็จการเข้มแข็ง แต่ฝ่ายประชาธิปไตยอ่อนแอ ซึ่งก็คือพื้นที่กรุงเทพฯและภาคใต้ เพื่อย้ายฐานปฏิบัติการของรัฐบาลไปสู่ภูมิภาค อันเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายประชาธิปไตยเข้มแข็ง แต่ฝ่ายเผด็จการอ่อนแอ มุ่งไปสู่พื้นที่อันกว้างใหญ่ มวลชนไพศาล ชูธงประชาธิปไตยต่อต้านอำนาจเผด็จการที่กำลังสถาปนาตนขึ้นในกรุงเทพฯ ทอดยาวรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอันชอบธรรมให้นานที่สุด ด้วยการสนับสนุนจากประชาชนในพื้นที่และจากรัฐบาลมิตรต่างประเทศ ยิ่งยืดเยื้อออกไปเท่าใด ฝ่ายประชาธิปไตยจะยิ่งเข้มแข็งขึ้น และฝ่ายเผด็จการในกรุงเทพฯก็จะไม่มีความชอบธรรมและอ่อนแรงลงจนพ่ายแพ้ในที่ สุด เพราะแม้พวกเผด็จการจะมีมื้อเท้ามากมาย ทั้งทหาร ตุลาการ พรรคประชาธิปไตย และมวลชนจำนวนหนึ่ง ที่สิ่งที่พวกเขามีน้อยและกำลังจะหมดลงก็คือ เวลา!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น