แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

แกนนำพันธมิตรเชียงใหม่-สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เขียนเฟสบุ้คใส่ร้าย "ปรีดี-ป๋วย วางแผนฆ่าในหลวง ร.8"

ที่มา go6tv

 วันที่ 21 พฤษภาคม 2556 (go6TV) เฟสบุ้ค นายเทอดศักดิ์  เจียมกิจวัฒนา  ได้เขียนข้อความลงในเฟสบุ้คส่วนตัว บิดเบือนเหตุการณ์สวรรคตในหลวงรัชกาลที่ 8 ใส่ร้ายรัฐบุรุษ ปรีดี พนมยงค์ และนายป๋วย อึ้งภากรณ์  ว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังกรณีสวรรคต โดยมีข้อความดังนี้ (หมายเหตุ:ทีมงานไม่แก้ไขคำสะกดในบทความดังกล่าว เพราะผิดจำนวนมาก และต้องการเป็นหลักฐานในภายหน้า จึงคงตัวอักษรเดิม)
เรื่องเล่าจากลุงนิตร ในหลวง ร.8 ถูกวางยา ก่อนถูกลอบปลงพระชน
ได้มีโอกาสเจอคุณลุงมานิตร โชติกะเสถียร วัย 71 ปี ท่านเป็นบุตรชายแท้ๆของ ศ.นพ.ชุบ โชติกะเสถียร หรือฉายา " หมอสปัสซั่ม " ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลจุฬาฯ ผู้ชันสูตรพลิกศพของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวราชการที่ 8 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ท่านเป็นหมอที่ยืนยันว่านอกจากจะมีการลอบปลงพระชนด้วยอาวุธปืน " พาราเบลลั่ม "แล้ว ยังมีการวางยาในหลวง วางยาต้นห้อง
คุณลุงนิตร นั่งกินหมูกะทะกับผมโดยบังเอิญที่หน้าสถานีวิหคเรดิโอ เชียงใหม่ เพราะท่านมาวันเกิดลูกของน้องชายผม เลยคุยกับแบบถูกคอเรื่องบ้านเมือง ในอดีตจนถึงปัจจุบัน คุณลุงนิตรเล่าให้ฟังว่าพอ ศ.นพ.ชุบ โชติกะเสถียร บิดา จะไปเป็นพยานในศาลคดีลอบปลงพระชน ปรีดีย์ได้มาเจรจา เพื่อให้ยอมไปให้ปากคำว่าเป็นการปลงพระชนตัวเอง โดยยื่นสินบนด้วยคำพูดว่า "จะเปิดคลังหลวงให้และให้เอากระเป๋าไป2ใบ ใส่เงินเท่าที่ใส่ได้ให้ไปกินอยู่ตลอดชีวิต แค่อย่าให้ปากคำกับศาลว่าเป็นการลอบปลงพระชน" ในสมัยนั้นถ้าใครไม่ยอมทำตาม ก็จะมี "เก๋งดำ" หรือรถยนต์เก๋งสีดำ มาจอดหน้าบ้าน นั้นหมายถึงว่าตายทุกราย จนข่าวนี้โด่งดั่ง จนเกิดข่าวลือว่า ศ.นพ.ชุบ ตายแล้ว อันที่จริงแล้ว ศ.นพ.ชุบ ได้จ้างทหารมาเป็นยามถือปืนลูกซองอยู่ในบ้านใครเข้ามา "ยิงทิ้งทันที" จากนั้นก็ไปให้ปากคำกับศาลยืนยันว่าเป็นการลอบปลงพระชนจริง ระบุว่าในการตรวจพระศพยังพบว่ามีการ "ลอบวางยา" ต้นห้องของในหลวงราชการที่ 8 และในพระวรกายของท่านยังพบว่า มีการพบ "น้ำมันระหุ่ง" ในปริมาณมากผิดปกติ จนทำให้เกิดอาการ "มึนงง" ก่อนการลอบปลงพระชน
คำว่าหมอ "สปัสซั่ม" ลุงนิตร บอกว่าสื่อมวลชนในสมัยนั้น ได้ให้ฉายา กับ ศ.นพ.ชุบ เพราะคำให้การที่อธิบายถึงคนที่จะยิงตัวตายได้จะต้องมีอาการเกรง หรือ "สปัสซั่ม" แต่ในหลวงราชการที่ 8 ไม่มีอาการดังกล่าว นั้นยิ่งชัดว่าไม่ใช่การลอบปลงพระชน ที่ ศ.นพ.ชุบไม่ยอมไปให้ปากคำตามที่ปรีดีย์ต้องการ เพราะ ศ.นพ.ชุบ ได้ทุนเจ้าฟ้า เรียนในประเทศอังกฤษตั้งแต่อายุ 13 ปี มีพี่น้องคือ 1.หลวงประเสริฐไมตรี โชติกะเสถียร 2.พลเอกหลวงสุระณรงค์ โชติกะเสถียร สมุหะราชองครักษ์-องคมนตรี 3.ศ.นพ.ชุบ โชติกะเสถียร 4.ท่านผู้หญิงศิริ สารสิน เป็นบุตรของ ทูตพระสัมผกิจปรีชา โชติกะเสถียร และคุณหญิงฉลวย โชติกะเสถียร ซึ่งพลเอกหลวงสุระณรงค์ โชติกะเสถียร คือ สมุหะราชองครักษ์ ต่อมาได้รับโปรดเกล้าให้เป็น "องคมนตรี" โดยได้รับใช้ดูแลในหลวงราชการที่ 8 และ 9 พระพี่นาง สมเด็จย่า มาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กในประเทศไทยตอนยังไม่ได้ครองราชบัลลังค์ ก่อนเสด็จไปประเทศสวีสฯ ทำให้ ตระกูล "โชติกะเสถียร" มีความใกล้ชิดและจงรักภักดีต่อราชวงค์จักรีเป็นอย่างมาก พอเกิดการเปลี่ยนแปลงจากคณะราษฎรยึดอำนาจกันเอง ทำให้ปรีดีย์หมดอำนาจ จากฝีมือจอมพลสฤษดิ์ ธนรันตน์ ชีวิตของ ศ.นพ.ชุบ จึงรอดเงื้อมือมัจจุราชมาได้ และได้ก่อตั้งโรงพยาบาล หน่วยแพทย์อาสา จนสิ้นอายุขัยด้วยวัยชรา
ลุงมานิตรตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมสำหรับ ใจ อึ้งพากร ลูก ดร.ป๋วย อึ้งภากร มาใส่ร้ายโจมตีราชการที่ 9 กล่าวหาว่าเป็นผู้ลอบปลงพระชนราชการที่ 8 เพื่อแย่งชิงราชบัลลังค์นั้น ผมอธิบายกับคุณลุงมานิตร ตามหลักยุทธศาสตรืการเมืองว่า เป็นเรื่องที่ไม่แปลก เพราะทั้ง ป๋วย ทั้ง ใจ เป็นฝ่ายซ้ายนิยมในพรรคคอมมิวนิสต์ แม้ ดร.ป๋วย จะเป็นเสรีไทยสายอังกฤษ แต่ก็ไม่นิยมเจ้าจึงเป็นพรรคพวกเดียวกับอำมาตรีปรีดีย์ การปล่อยข่าวทำลายสถาบันกษัตริย์ เป็นหลักในการล้มล้างการปกครองในประเทศฝรั่งเศส ที่จะปล่อยข่าวทำลายราชวงค์ก่อนที่จะมีการโค่นล้ม โดยมีรากเง่ามาตั้งแต่ ประชาธิปไตยเกิดขึ้นนครรัฐกรีกโบราณช่วงศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล ยุค เมโสโปเตเมีย ฟินีเซียและอินเดีย ที่มีนักปราชที่รู้จักกันในนาม "เพลโต้" democracy ในภาษาอังกฤษมีรากศัพท์มาจากภาษากรีกโบราณว่า "ดีมอคระเทีย" การลอบปลงพระชนนั้น จากประวัติศาสตร์ที่ระบุจากผู้อยู่ในเหตุการณ์ระบุว่าเป็นฝีมือของ " รอ.วัชระชัย " รองราชเลขาสำนักพระราชวัง เข้าไปลอบปลงพระชน วางยาเอง แล้วหลบหนีไปร่วมกับอำมาตย์ตรีปรีดีย์ ก่อการกบฎวังหลวง กบฎแมนฮัตตั่น กบฎเมษาฮาวาย สุดท้ายก็โดนทหารจีนยิงทิ้ง "คดีลอบปลงพระชน" ถูกรื้อฟื้นอีกครั้ง หลังจาก จอมพลสฤษดิ์ ยึดอำนาจสำเร็จถือหลักคิดโจโฉ ถือธงนำหน้า ปกป้องพระเจ้าแผ่นดิน ส่วนวาทะกรรมที่ว่า "ปรีดีย์ฆ่าในหลวง" ที่มีการประกาศในโรงภาพยนต์สมัยนั้น เกิดจากประชาชนที่อดรนทนไม่ไหวกับการยึดครองอำนาจของคณะราษฎร์ เกิดการทุจริต คอรัปชั่น เข่นฆ่าประชาชน รัฐมนตรี รัฐประหารกันเองหลายสิบครั้งต่างหาก แต่วาทะกรรมนี้ ฝ่ายซ้าย หรือฝ่ายคอมมิวนิสต์จะเอามาโจมตีว่าเป็นฝีมือของพรรคประชาธิปัตย์ พรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นโดย นายควง อภัยวงค์ น้องชายของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ของราชการที่ 7 โดยเจตนาโจมตีป้ายสีราชการที่ 9 ว่าเป็นผู้ลอบปลงพระชน ให้เกิดเป้าหมายสูงสุดคือปลุกให้ประชาชนไม่พอใจลุกฮือเปลี่ยนแปลงการปกครอง เหมือนที่เกิดในฝรั่งเศส รัสเซีย ฯลฯ
การลอบปลงพระชนในหลวงราชการที่ 8 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร นั้น บทสรุปจากบทบันทึกจากทั้งฝ่ายคอมนิวนิสต์ คือฝ่ายผู้แพ้ ฝายขวา คือฝ่ายชนะ และคนกลาง ตรงกันคือ ในหลวงราชการที่ 8 ถูกลอบปลงพระชน จากพยานที่ถูกบันทึกไว้ทั้ง 3 ฝ่ายระบุตรงกันว่า เพราะในหลวงราชการที่ 8 จะลาออกมาเลือกตั้งแข่งขันเป็นนายกรัฐมนตรี และจะให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวราชการที่ 9 เป็นในหลวงแทน เพราะท่านทนไม่ได้ที่ถูกปรีดีย์ ในฐานะผู้สำเร็จราชการริบรอนพระราชอำนาจ กดขี่ จนมีบันทึกในประวัติศาสต์ไว้ว่า " แม้แต่รถก็ไม่มีให้ใช้ หากแม่เราป่วยจะไปโรงพยาบาลจะไปอย่างไร " สิ่งเหล่านี้คือประวัติศาสตร์ ที่เป็นรากเง้าของประเทศไทย ที่ต้องถือว่าเป็นบทเรียน ลุงนิตรโทรศัพท์กลับมาหาผมว่าอยากให้ลูกหลานคนรุ่นต่อไปได้ทราบเรื่องเหล่านี้ เสียดายแม่ของลุงนิตรได้เสียชีวตไปแล้ว ท่านจำเรื่องราวเหล่านี้ได้อย่างอย่างละเอียด ลุงนิตรเองจำได้ในส่วนที่สำคัญ วันนี้ลุงนิตรในวัย 71 ปีเป็นคนกรุงเทพ แต่มาพำนักพักอาศัยในวัยชราที่เชียงใหม่ "ถ้าอยากรู้อนาคต ต้องศึกษาอดีตลึกซึ้ง จะเข้าใจปัจจุบัน และหยั่งรู้ซึ่งอนาคต"
เทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา
22 พฤษภาคม 2556

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น