แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันอังคารที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2556

“รัฐ” ไม่ได้เป็นเจ้าของ “สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” แต่เป็นแค่ “นอมินี” ของ “กษัตริย์” เท่านั้น

ที่มา Thai E-News

 9 เมษายน 2556

โดย โชติศักดิ์ อ่อนสูง

ที่มา https://www.facebook.com/chotisak.onsoong

 
 




 
 
(1)

Royalist ท่านหนึ่งได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ “สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” ในเฟซบุ๊คของเขา โดยได้เปรียบเทียบ “สนง.ทรัพย์สินฯ” ไว้อย่างน่าสนใจมาก เพียงแต่ว่า Royalist ท่านนี้ได้ละเลยข้อเท็จจริงที่สำคัญบางอย่างไป ทำให้ข้อสรุปที่ได้จึงกลายเป็นกลับหัวกลับหางกับความเป็นจริง ผมจึงจะยกการเปรียบเทียบดังกล่าวมาเล่าพร้อมกับจะพยายามชี้ให้เห็นข้อเท็จ จริงที่ Royalist ท่านนั้นมองข้ามไปให้ผู้อ่านได้เห็น ซึ่งผมคิดว่าด้วยวีธีนี้น่าจะช่วยให้หลายๆคนสามารถทำความเข้าใจสถานะความ เป็นเจ้าของของ สนง.ทรัพย์สินฯได้ง่ายขึ้น

Royalist ท่านนั้นได้เปรียบเทียบไว้ว่า “(สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์) เหมือนบริษัทมหาชน ที่ในหลวงทรงเป็น "ประธานกิตติมศักดิ์", รมว.คลัง เป็น "ประธานบอร์ด", ผู้อำนวยการ สนง.ทรัพย์สินฯ เป็น CEO” (โปรดดู https://www.facebook.com/photo.php?fbid=280522802081962&set=a.117227755078135.19760.100003727339052&type=1)

อย่างที่ผมได้กล่าวไปแล้ว การเปรียบเทียบนี้ได้ละเลยข้อเท็จจริงที่สำคัญบางอย่างไป กล่าวคือ ไม่มีประธานกิตติมศักดิ์บริษัทมหาชนที่ไหนมีอำนาจแต่งตั้งบอร์ดบริหารของ บริษัทเกือบทั้งหมด (โดยทั่วไป อำนาจการตั้งบอร์ดเป็นของ “ผู้ถือหุ้น” ซึ่งก็คือคนที่เป็นเจ้าของบริษัทนั่นเอง) และไม่มีประธานกิตติมศักดิ์ของบริษัทไหนที่สามารถใช้สอยเงินกำไรของบริษัท แต่เพียงผู้เดียว (โดยทั่วไปกำไรของบริษัทนอกจากจะหักไว้เพื่อการลงทุนเพิ่มหรืออื่นๆแล้วก็ ปันผลให้ “ผู้ถือหุ้น” ซึ่งก็คือคนที่เป็นเจ้าของบริษัท)



(2)

สนง.ทรัพย์สินฯมีคณะกรรมการซึ่งมีอำนาจดูแลกิจการทั้งหมดของ สนง. โดยมี รมว.กระทรวงการคลังเป็นประธานโดยตำแหน่ง และมีกรรมการอื่นอีกไม่น้อยกว่า 4 คนซึ่งแต่งตั้งโดยกษัตริย์ โดย 1 ในกรรมการที่กษัตริย์แต่งตั้งนั้นทำหน้าที่เป็น ผู้อำนวยการด้วย (ดู พรบ.ระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ.2479 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2491 ม.4 ตรี) อย่างไรก็ตามในปัจจุบันกรรมการที่กษัตริย์แต่งตั้งมีทั้งหมดถึง 7 คน (ดู http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B9%8C)

จะเห็นได้ว่าอำนาจในการแต่งตั้ง “บอร์ด” ส่วนใหญ่ของ สนง. (หรือของบริษัทถ้าเอาตามที่ Royalist ท่านนั้นได้เปรียบเทียบไว้) ส่วนใหญ่ (ขั้นต่ำ 80% ของบอร์ดทั้งหมด หรือ 87.5% ตามตัวเลขจริงในปัจจุบัน) ซึ่งรวมถึงคนที่ทำหน้าที่เสมือนเป็น CEO (ตามที่ Royalist ท่านนั้นได้เปรียบเทียบไว้) นั้นอยู่ที่กษัตริย์ ทั้งที่โดยปกติอำนาจนี้ต้องเป็นอำนาจของผู้ถือหุ้น (ซึ่งก็คือเจ้าของบริษัท) เท่านั้น

นั่นหมายความว่าในทางปฏิบัติ “กษัตริย์” เป็น “เจ้าของตัวจริง” ของ สนง.ทรัพย์สินฯ ไม่ใช่ “รัฐ” อย่างที่ Royalist หลายๆคนพยายามยืนยัน เพราะมีอำนาจตั้งบอร์ดแบบเดียวกับผู้ถือหุ้น/เจ้าของบริษัทโดยทั่วไป
(ส่วนเรื่อง “รมว.คลัง เป็นประธานโดยตำแหน่ง” ผมจะกลับมาพูดทีหลัง)

ไม่เพียงเท่านั้น กษัตริย์ยังเป็นผู้เดียวที่สามารถใช้สอยกำไรของ สนง.ทรัพย์สินฯ และเป็นการใช้สอยได้ตามอัธยาศัยไม่ว่ากรณีใดๆ พูดง่ายๆคือเอาไปใช้ยังไงก็ได้ (ดู พรบ.ระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ.2479 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2491 ม.6 วรรค 2) จะมียกเว้นก็แต่ในกรณีที่มีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (มาตรา/วรรคเดียวกัน) ซึ่งก็คือผู้ที่เป็นตัวแทนของกษัตริย์อยู่ดี 

จะเห็นได้ว่าโดยปกติบริษัทโดยทั่วไปจะแบ่งกำไรให้ผู้ถือหุ้น (ซึ่งก็คือเจ้าของบริษัท) และผู้ถือหุ้นจะเอากำไรเหล่านั้นไปใช้สอยอะไรก็ได้ตามอัธยาศัยของพวกเขา แต่ในกรณี สนง.ทรัพย์สินฯ คนที่สามารถเอาเงินส่วนนี้ไปใช้สอยได้ก็คือกษัตริย์แต่เพียงผู้เดียว นั่นหมายความว่าในทางปฏิบัติ “กษัตริย์” เป็น “เจ้าของตัวจริง” ของ สนง.ทรัพย์สินฯ ไม่ใช่ “รัฐ” อย่างที่ Royalist หลายๆคนพยายามยืนยัน เพราะเป็นผู้(เดียว)ที่สามารถเอากำไรไปใช้สอยได้แบบเดียวกับผู้ถือหุ้น/เจ้า ของบริษัทโดยทั่วไป



(3)

เพื่อให้เข้าใจเรื่องนี้ได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นเราจำเป็นจำต้องพูดถึงตัวละคร สำคัญในวงการธุรกิจตัวหนึ่ง นั่นก็คือคนที่ทำหน้าที่เป็น “นอมินี”

คิดว่าหลายๆคนอาจจะพอทราบอยู่แล้วบ้างว่านอมินีคือคนที่ไม่ใช่เจ้าของตัว จริง ไม่มีอำนาจจริงในบริษัท กำไรไม่ได้เข้ากระเป๋านอมินีโดยตรง แต่อำนาจในการบริหารบริษัทจะอยู่ที่เจ้าของตัวจริง ผลกำไรที่ได้ก็เข้าประเป๋าเจ้าของตัวจริง คนที่เป็นนอมินีเป็นแค่คนที่สมอ้างเอาชื่อมาใส่ว่าเป็นเจ้าของแค่นั้นเอง

กรณี สนง.ทรัพย์สินนี่ก็มี “นอมินี” เข้ามาเกี่ยวข้องเหมือนกัน เพราะว่ามีความต้องการอำพรางไม่ให้ประชาชนทราบว่าใครคือเจ้าของตัวจริง

บางคนอาจจะใช้คนขับรถหรือคนใช้เป็นนอมินี แต่กรณี สนง.ทรัพย์สินฯ มี “รัฐ” เป็น “นอมินี” ส่วนคนที่เป็นเจ้าของตัวจริงก็คือ กษัตริย์ เพราะกษัตริย์มีอำนาจจริงในการแต่งตั้งบอร์ด และเป็นผู้เดียวที่มีสิทธิ์ใช้สอยเงินกำไรอย่างที่ได้อธิบายไปแล้ว

ส่วนกรณีที่ รมว.คลัง มานั่งเป็นประธานบอร์ด ถ้าจะเปรียบเทียบ (อย่างที่ Royalist คนที่ผมพูดถึงตั้งต้นได้เปรียบเทียบไว้) ก็เหมือนกับไปเอาลูกหรือเมียของ “นอมินี” มาใส่ชื่อไว้ว่าเป็นประธานบอร์ด โดยที่บอร์ดที่เหลืออีก 80%/87.5% รวมถึงคนที่เป็น CEO มาจาก “เจ้าของตัวจริง” เพื่อจะบอกว่า “นี่ไง คนนี้เป็นเจ้าของจริงๆนะ ลูก/เมีย เขาถึงได้มานั่งเป็นประธานบอร์ดไง” ซึ่งก็อำพรางให้แนบเนียบขึ้น หลอกคนส่วนหนึ่งได้ง่ายขึ้นเท่านั้นเอง (ถามว่าในทางปฏิบัติถ้าเกิดความขัดแย้งขึ้นมาระหว่างบอร์ด 2 ประเภทนี้ ประธานบอร์ดคนเดียวจะไปสู้รบตบมืออะไรกับบอร์ดเสียงข้างมาก 80%/87.5% ที่กษัตริย์/เจ้าของตัวจริงเลือกมากับมือได้หรือ?)


(4)

ที่ พูดมาทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะผมจะเสนอว่าสำนักงานทรัพย์สนส่วนพระมหากษัตริย์ ไม่ควรเป็นของรัฐ, ผมเห็นว่าทรัพย์สินส่วนนี้ควรเป็นของรัฐ และควรเป็นของรัฐอย่างแท้จริง (มีอำนาจบริหารองค์กร หักกำไรเข้ารัฐ ฯลฯ) ไม่ใช่แค่ในนามแบบนี้

แต่ที่พูดมาทั้งหมดนี้เพื่อจะชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั่นเป็นอย่างไรเท่านั้นเอง


(5)
ทั้งหมดที่ผมเขียนมานี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับองค์กรนิติบุคคลที่มีชื่อว่า “สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” ซึ่งจัดตั้งขึ้นตาม พรบ.ระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ (รวมถึงสถานะ “เจ้าของที่แท้จริง” ของ สนง.ทรัพย์สินฯ และรายละเอียดอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับ สนง.นี้)

ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ “ทรัพย์สินส่วนพระองค์” แต่อย่างใด (และผมทราบดีว่า “ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” กับ “ทรัพย์สินส่วนพระองค์” นั้นเป็นคนละส่วนกัน)

ดังนั้นหากจะโต้แย้งอะไรก็โปรดเข้าประเด็น สนง.ทรัพย์สินฯ ไม่จำเป็นต้องวกไปถึง “ทรัพย์สินส่วนพระองค์” (เพราะไม่เกี่ยวกัน) และไม่จำเป็นต้องมาบอกซ้ำว่า 2 อย่างนี้เป็นคนละส่วนกัน (เพราะทราบอยู่แล้ว)

ต้องขออนุญาตเขียน “ดัก” ไว้อย่างนี้ เพราะบ่อยครั้งที่พูดเรื่อง สนง.ทรัพย์สินฯทีไร จะต้องมีคนแถไปเรื่อง “ทรัพย์สินส่วนพระองค์” ทุกที

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น