แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

“นิรโทษกรรมผู้กระทำผิด / ล้างมลทินผู้บริสุทธิ์” กฎหมายปรองดองประชาชนกับอำนาจรัฐของประชาชน

ที่มา Thai E-News



ร่าง กฎหมายนี้ เพื่อให้ฝ่ายนิติบัญญัติเป็นผู้ริเริ่มและควรมีสาระบัญญัติทั้งส่วนที่เป็น การนิรโทษกรรมให้ผู้กระทำผิด และส่วนที่เป็นการล้างมลทินให้ผู้บริสุทธิ์รวมอยู่ในกฎหมายฉบับเดียวกัน  โดยเป็นกฎหมายที่มีขอบเขตครอบคลุมการกระทำของประชาชนผู้ร่วมชุมนุมทางการ เมืองเท่านั้น  

โดย รองศาสตราจารย์  ดร. วรพล  พรหมิกบุตร

ผู้ เขียนติดตามข้อเสนอแนวทางการปรองดองเพื่อคลี่คลายความขัดแย้งและความรุนแรง ทางการเมืองอันเนื่องมาจากการใช้อำนาจรัฐกับการชุมนุมของประชาชนในช่วง รัฐบาลชุดต่าง ๆ ที่คาราคาซังอยู่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา และเห็นด้วยว่าการสร้างความปรองดองด้วยวิธีการตรากฎหมายรองรับเป็นแนวทางที่ สามารถพัฒนาสร้างภาวะปรองดองในวงกว้างต่อไปได้  และได้ดีกว่าการ “เกี้ยเซียะ” และ/หรือการบังคับปรองดอง
ข้อเสนอร่างกฎหมายของแต่ละกลุ่มเท่าที่ปรากฎควรแก่การพิจารณาและควรพิจารณา อย่างจริงจังรอบคอบว่าสมเหตุสมผลและทำได้ในทางปฏิบัติมากน้อยต่างกันเพียงใด

ผู้ เขียนเสนอความเห็นเกี่ยวกับการร่างกฎหมายเพื่อการปรองดองของประชาชนต่อ สมาชิกรัฐสภาผ่าน ดร. พีรพันธุ์  พาลุสุข สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และผ่านสำนักงานเลขาธิการของทั้งสองสภาไปแล้วเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา  โดยมีฐานความคิดที่สรุปมาจากรายละเอียดข้อเท็จจริงภาคสนามว่าประชาชนกลุ่ม ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมทางการเมืองที่มีความขัดแย้งและความรุนแรงเป็น องค์ประกอบเหตุการณ์นั้นอาจจำแนกได้เป็นประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ตกเป็นเหยื่อ ของการกระทำรุนแรงและประชาชนที่สถานการณ์บีบบังคับให้กลายเป็นผู้ร่วมกระทำ ผิดหรือผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตามกฎหมาย   ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมที่จัดโดยแกนนำเสื้อเหลือง  เสื้อแดง  เสื้อหลากสี หรือเสื้อไม่ระบุสีกลุ่มอื่น ๆ ต่างก็มีองค์ประกอบของประชาชนสองแบบนี้รวมอยู่ด้วยกัน  แต่มีสัดส่วนมากน้อยต่างกันตามข้อเท็จจริงเหตุการณ์ที่ปรากฎ


การ ร่างและผ่านกฎหมายเพื่อผ่อนคลายแรงกดดันทางการเมืองและชนักติดหลังทางกฎหมาย ให้แก่ประชาชนเหล่านี้เป็นสิ่งที่หลักนิติธรรมอนุญาตให้ทำได้    และตัวแทนของประชาชนในรัฐสภาซึ่งใช้อำนาจนิติบัญญัติแทนประชาชนควรต้องทำ ให้สำเร็จโดยเร็วเพื่อผลประโยชน์ของชาติต่อไป


หลัก นิติธรรมอนุญาตให้สังคมออกกฎหมายงดเว้นโทษให้แก่ผู้กระทำความผิดที่สังคม เห็นว่าสมควรงดเว้นโทษให้  กฎหมายดังกล่าวคือกฎหมายนิรโทษกรรม    การออกกฎหมายนิรโทษกรรมยังคงเป็นการยืนยันว่ามีการกระทำความผิดเรื่อง นั้นเกิดขึ้นแต่สังคมเห็นว่าผู้กระทำผิดสมควรได้รับการงดเว้นไม่ต้องถูกลง โทษด้วยเหตุผลที่ต้องมีรองรับหนักแน่นเพียงพอ   ประชาชนผู้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญเข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองไม่ว่ากับแกนนำ ฝ่ายใดแล้วกลับต้องตกเป็นผู้กระทำผิดด้วยตนเอง  ผู้ร่วมกระทำผิดกับผู้อื่น  หรือผู้สนับสนุนการกระทำผิดของผู้อื่น เป็นประชาชนที่อยู่ในข่ายการนิรโทษกรรมหากสังคมเห็นว่ามีเหตุและผลเพียงพอ ที่จะงดเว้นการลงโทษให้  ผู้เขียนเห็นว่าประชาชนสามารถร่วมกันเรียกร้องตัวแทนของตนในรัฐสภาให้ร่าง และผ่านกฎหมายนิรโทษกรรมให้ประชาชนผู้กระทำผิดเหล่านั้น


การ กระทำผิดของประชาชน (ทุกกลุ่มสี) ผู้ร่วมชุมนุมทางการเมืองที่เกี่ยวข้องมีบทบัญญัติของกฎหมาย  4  ส่วนให้พิจารณา คือ (1) พรบ. ความมั่นคงฯ (2) พรก. สถานการณ์ฉุกเฉินฯ (3) ประมวลกฎหมายอาญา และ (4) กฎหมายพิเศษต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายจราจร  กฎหมายฟอกเงิน  ข้อผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยการก่อการร้ายสากล  เป็นต้น  


ความร้ายแรงของความผิดและระวางโทษตามข้อกฎหมายแต่ละเรื่องมีระดับหนักเบา ต่างกันโดยพิจารณาได้จากจำนวนเชิงปริมาณของการลงโทษที่กฎหมายเรื่องนั้น ๆ กำหนด  ผู้เรียกร้องให้มีการนิรโทษกรรมจึงควรยอมรับด้วยว่าการนิรโทษกรรมให้แก่ทุก ฐานความผิดเป็นไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ  ทั้งยังอาจกลายเป็นการขัดต่อหลักนิติรัฐนิติธรรม  แทนที่จะเป็นไปตามหลักนิติธรรมตามที่ต้องการ  สังคมไทยปัจจุบันจะต้องเสวนาหารือกันให้ครบถ้วนรอบด้านเพื่อสรุปขอบเขตของ การกระทำผิดอันเกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมืองที่ผ่านมาว่าฐานความผิด ใดเป็นฐานความผิดที่สมควรงดเว้นโทษให้แล้วจึงนำฐานความผิดนั้นไปตราไว้ใน กฎหมายนิรโทษกรรม

ประชาชน ผู้บริสุทธิ์ยังอาจจำแนกออกได้เป็นส่วนย่อยอีก 2 ส่วน คือ (1) ประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ไม่ถูกดำเนินการทางกฎหมายหรือไม่ถูกตั้งข้อกล่าวหา ดำเนินคดีใด และสามารถใช้ชีวิตอิสระตามปกติหลังการชุมนุม  และ (2) ประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ถูกดำเนินการทางคดีโดยการใช้อำนาจรัฐ ; ประชาชนทั้งสองส่วนนี้ไม่ใช่ผู้กระทำความผิดตามกฎหมายใดจึงไม่ต้องมีกฎหมาย นิรโทษกรรมงดเว้นโทษให้เหมือนกลุ่มประชาชนที่กระทำความผิดข้างต้น  


การร่างและผ่านกฎหมายนิรโทษกรรมแต่เขียนข้อความคลุมเครือไปครอบคลุมบุคคล เหล่านี้ด้วยกลับกลายเป็นการตั้งฐานความคิดว่าประชาชนทุกคนในที่ชุมนุมทุก ครั้งที่ผ่านมาล้วนเป็นผู้กระทำความผิด  ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าไม่ใช่เช่นนั้น    ประชาชนผู้บริสุทธิ์ส่วนที่สองนี้เป็นผู้ถูกคุกคามให้กลายเป็นผู้มีมลทิน โดยผู้มีอำนาจรัฐที่ใช้ประโยชน์จากกระบวนการยุติธรรมของรัฐกล่าวหา  จับกุม  คุมขัง  และดำเนินคดีต่อประชาชน  จนอาจถึงขั้นการพิพากษาลงโทษไปบ้างแล้วบางส่วน  ประชาชนผู้บริสุทธิ์แต่ถูกอำนาจรัฐสร้างมลทินให้เหล่านี้ต้องการกฎหมายล้าง มลทินให้การรับรองเป็นลายลักษณ์อักษรทางกฎหมายว่าเป็นผู้บริสุทธิ์และควร ต้องถือเสมือนเป็นผู้ไม่เคยถูกกล่าวหาดำเนินคดีโดยรัฐในเรื่องนั้นเลย  รวมทั้งควรได้รับการเยียวยาจากรัฐตามระดับหนักเบาของมลทินที่ผู้ใช้อำนาจ รัฐก่อให้เกิดแก่ชีวิตของพวกเขาและเธอ

ร่าง กฎหมายเพื่อการปรองดองของประชาชนตามที่ผู้เขียนเสนอความเห็นนี้เป็นร่าง กฎหมายที่ผู้เขียนเห็นว่าควรให้ฝ่ายนิติบัญญัติเป็นผู้ริเริ่มและควรมีสาระ บัญญัติทั้งส่วนที่เป็นการนิรโทษกรรมให้ผู้กระทำผิดและส่วนที่เป็นการล้าง มลทินให้ผู้บริสุทธิ์รวมอยู่ในกฎหมายฉบับเดียวกัน  โดยเป็นกฎหมายที่มีขอบเขตครอบคลุมการกระทำของประชาชนผู้ร่วมชุมนุมทางการ เมืองเท่านั้น  กล่าวคือ  ประโยชน์ของกฎหมายดังกล่าวนี้ไม่ครอบคลุมให้ประโยชน์แก่ผู้กระทำความผิดที่ เป็นผู้ใช้อำนาจรัฐและไม่ครอบคลุมให้ประโยชน์แก่ผู้กระทำผิดที่เป็นผู้ จัดการชุมนุมหรือผู้เป็นแกนนำสั่งการเคลื่อนไหวการกระทำของประชาชนผู้ร่วม การชุมนุม


 สำหรับฐานความผิดอื่น ๆ ที่กฎหมายอาจไม่นิรโทษกรรมให้นั้น  ผู้เขียนเห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาทุกกลุ่มและทุกสถานะ  ไม่ว่าจะเป็นประชาชนทั่วไป  แกนนำมวลชน  รวมทั้งผู้ใช้อำนาจรัฐที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดโดยมีหลักฐานข้อเท็จจริงรอง รับเพียงพอแก่เหตุ  ยังสมควรต้องได้รับสิทธิการปล่อยตัวชั่วคราวเพื่อต่อสู้คดีตามกระบวนการ ยุติธรรมปกติต่อไป  


ซึ่ง ผู้เขียนเห็นว่าศาลควรแสดงให้สังคมเห็นการใช้ดุลยพินิจที่บ่งบอกถึงภาวะ “ความเท่าเทียมเสมอภาคทางกฎหมายที่รับรู้รูปธรรมได้” มากกว่าระดับที่เป็นอยู่ในช่วงที่ผ่านมา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น