แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556

ยอดพล เทพสิทธา: เมื่อศาลยุติธรรม (ไทย) ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าศาลเจ้า

ที่มา ประชาไท

 
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 3 บัญญัติว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้เป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรีและศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้
การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งหน่วยงานตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานของรัฐต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม
จากบทบัญญัติดังกล่าวของรัฐธรรมนูญทำให้เห็นถึงการแบ่งหน้าที่ตามหลักของ การไม่รวบอำนาจไว้ที่บุคคลคนเดียวหรือองค์กรเดียวอย่างชัดเจน นั่นคือ รัฐสภา คณะรัฐมนตรีและศาลเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตย หากพิจารณาให้ถ่องแท้แล้วจะเห็นได้ว่าทั้งสามองค์กรดังกล่าวมีฐานอำนาจที่มา จากประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยในทางกฎหมายของรัฐไทย โดยแต่ละองค์กรต่างทำหน้าที่ของตนที่ได้บัญญัติไว้ตามรัฐธรรมนูญ
กรณีของรัฐสภาและคณะรัฐมนตรีนั้นผู้เขียนจะขอละไว้ไม่พูดถึงในกรณีนี้ เพราะตามบทบัญญัติของกฎหมายเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถทำการตรวจสอบผู้แทนของ ตนได้ทั้งทางตรงและทางอ้อมซึ่งสื่อให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างทั้งสอง องค์กรกับประชาชนอย่างชัดเจนแต่ในกรณีของศาลนั้นเราเพิ่งจะได้เห็นการออกมา ตอบโต้บทความของนักวิชาการต่างๆไม่ว่าจะโดยอธิบดีศาสลอาญาหรือแม้แต่ตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญเอง จึงเป็นที่น่าคิดว่าเมื่อศาลเป็นหนึ่งในองค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตยแล้วนั้น เหตุใดศาลจึงตั้งตัวเองให้มีความศักดิ์สิทธิยิ่งกว่าอีกสององค์กรข้างต้น
เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2556 ที่ผ่านมาศาลอาญาได้มีคำวินิจฉัยในคดีความผิดเกี่ยวกับมาตรา 112 ของนาย สมยศ  โดยศาลได้ตัดสินให้นาย สมยศ มีความผิดตามฟ้องและลงโทษจำคุกเป็นเวลาสิบปีสำหรับความผิดตามมาตรา112 หลังจากศาลได้มีคำวินิจฉัยนี้ได้มีปฏิกริยาจากสาธารณชนเป็นวงกว้างทั้งเห็น ด้วยและไม่เห็นด้วยในส่วนที่เห็นด้วยนั้นผู้เขียนจะไม่ขอกล่าวถึงแต่ในส่วน ของความเห็นแย้งกับคำวินิจฉัยของศาลนั้นในบางความเห็นแย้งศาลกลับออกมาตอบ โต้ว่าเป็นการหมิ่นศาลละเมิดอำนาจศาลเช่น จดหมายเปิดผนึกของนายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายอิสระเป็นต้น นอกจากนี้ในกรณีของนาย อำพน หรือ อากงนั้น ศาลได้เคยออกมาตอบโต้แล้วครั้งหนึ่งซึ่งสร้างความไม่พอใจแก่ผู้คนจำนวนมาก จึงทำให้ต้องกลับมานั่งทบทวนกันในทางหลักกฎหมายว่าเหตุใดเราสามารถวิจารณ์ นโยบายของรัฐบาลได้ทั้งทางตรงทางอ้อม ทั้งสุภาพและหยาบคายเราสามารถวิจารณ์การทำหน้าที่ของผู้แทนของเราได้เช่น เดียวกัน
แต่ในกรณีของศาลนั้นกลับมีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่าวิจารณ์ได้แต่ต้อง เป็นไปตามหลักวิชาและวันดีคืนดีผู้วิจารณ์อาจโดนข้อหาหมิ่นศาลซึ่งเป็นกรณี ที่ค่อนข้างน่าขบขันเนื่องจากคนวินิจฉัยก็ดี นั่นคือองค์กรศาลยุติธรรมเองเหมือนกับเป็นการประมานว่า อย่าวิจารณ์ข้านะข้ามีกฎหมายคุ้มครองและข้าเองเป็นคนที่ใช้กฎหมายนั้นตัดสิน พวกเจ้า
ปัญหาที่ต้องนำมาขบคิดเกี่ยวกับการใช้อำนาจของศาลนั้นในทางตำราเรียนแล้ว นั้นศาลถือเองว่าคำวินิจฉัยของศาลถูกควบคุมโดยทางดิ่ง (vertical) อยู่แล้วโดยการควบคุมแบบเป็นลำดับชั้นจากชั้นต้นไปจนถึงชั้นสูง ไม่มีการควบคุมจากภายนอกทำให้ศาลเป็นองค์กรที่ค่อนข้างอิสระไม่ยึดโดยงกับ อาณัติใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งต่างจากรัฐสภาและคณะรัฐมนตรีที่สามารถถูกตรวจสอบได้ทั้งจากภายในและภาย นอก ทีนี้เมื่อเกิดคำวินิจฉัยที่คลุมเครือ จะมีกระบวนการอย่างไรในการควบคุมหรือเอาแค่การตรวจสอบก็พอเพื่อที่จะตรวจสอบ ได้ว่า คำพิพากษาหรือคำวินิจฉัยของศาลนั้น น่าเชื่อถือ และ ยุติธรรม สำหรับใคร  ทั้งที่มีข้อเสนอจากนักวิชาการจำนวนมากเรียกร้องขอให้ศาลมีจุดเกาะเกี่ยว หรือจุดเชื่อมโยงกับประชาชนแต่ข้อเสนอนี้เสมือนการผายลมเพราะไม่ได้รับการ ตอบรับเท่าที่ควรจากองค์กรศาลเอง
ตัวอย่างของความน่าเชื่อถือของคำวินิจฉัยของศาลเช่น ในกรณีของนาย อำพล ศาลกล่าวว่า "แม้โจทก์จะไม่สามารถนำสืบแสดงให้เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า จำเลยเป็นผู้ที่ส่งข้อความตามฟ้อง...ก็ตาม แต่ก็เพราะเป็นการยากที่โจทก์จะสามารถนำสืบด้วยประจักษ์พยาน เนื่องจากผู้ที่กระทำความผิดที่มีลักษณะร้ายแรงดังกล่าวย่อมจะต้องปกปิดการ กระทำของตนมิให้บุคคลอื่นได้ล่วงรู้ ทั้งจะอาศัยโอกาสกระทำเมื่อไม่มีผู้ใดรู้เห็น จึงจำเป็นต้องอาศัยเหตุผลจากพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีที่โจทก์นำสืบเป็น เครื่องชี้วัดให้เห็นถึงการกระทำและเจตนาซึ่งอยู่ภายใน ซึ่งจากพยานเหตุแวดล้อมกรณีที่โจทก์นำสืบมาทั้งหมดนั้น ก็สามารถนำสืบแสดงให้เห็นถึงพฤติการณ์ทั้งหมดซึ่งบ่งชี้อย่างใกล้ชิดและสม เหตุสมผลโดยไม่มีข้อพิรุธใด ๆ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาทั้งหมดประกอบกันจึงมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้โดย ปราศจากข้อสงสัยว่า ในช่วงเวลาเกิดเหตุ จำเลยเป็นผู้ส่งข้อความทั้งสี่ข้อความตามฟ้อง...ซึ่งข้อความดังกล่าวมี ลักษณะที่เป็นการดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้าย และเป็นการใส่ความหมิ่นประมาท โดยประการที่จะน่าทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ ทรงเสื่อมเสียพระเกียรติยศต่อชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น และถูกเกลียดชัง...ข้อความดังกล่าวล้วนไม่เป็นความจริง เพราะข้อเท็จจริงที่ประจักษ์แก่ประชาชนทั้งประเทศว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ ทั้งสองพระองค์ ทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตา...จำเลยจึงมีความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง"
คำวินิจฉัยนี้มีปัญหาอะไร หากคนที่เรียนกฎหมายหรือทราบหลักการพื้นฐานกฎหมายจะทราบว่าในทางกฎหมายอาญา นั้น มีหลักอยู่ข้อหนึ่งที่ว่า  Beyond the reasonable doubt หรือการพิสูจน์จนสิ้นสงสัย แต่จากคำวินิจฉัยนี้แสดงให้เห็นว่าศาลเองไม่ได้เดินไปตามหลักนี้แต่กลับให้ เหตุผลไปในอีกทิศทางหนึ่งซึ่งไม่สามารถหาตรรกของคำวินิจฉัยนี้ได้เลยครั้นจะ รออุทธรณ์ก็สายไปเสียแล้วเพราะนายอำพน หรืออากงได้เสียชีวิตไปแล้ว ปล่อยให้คำพิพากษานี้คาใจและเป็นข้อกังขาแก่สังคมมาจนปัจจุบัน ปัญหาคือการให้คำอรรถาอธิบายของศาลแก่สาธารณชนนั้นเป็นที่ยอมรับได้หรือไม่ หากสาธารณชนไม่เห็นด้วยจะวิจารณ์ได้หรือไม่
กรณีล่าสุดศาลได้ออกมาตอบโต้นายวีรพัฒน์ นักกฎหมายอิสระที่ผู้เขียนเห็นว่าเป็นการคุกคามเสรีภาพของนายวีระพัฒน์อย่าง ชัดเจนด้วยการประกาศว่าจะนำเอายุทธโธปกรณ์ทั้งหมดมาเช็คนายวีรพัฒน์ ศาลอ้างว่าหากเป็นการวิจารณ์ทางวิชาการศาลสามารถรับได้ สิ่งที่ต้องพิจารณาคือ คำว่า วิชาการ ของศาลนั้น ศาลท่านตีความอย่างไร ด้วยความเคารพต่อศาล(ผู้เขียนต้องแสดงความเคารพต่อศาลให้เห็นก่อนเพราะผู้ เขียนเป็นเพียงนักเรียนกฎหมายที่ยังรักตัวกลัวอยู่) คำว่าวิชาการนั้น อาจมีได้หลายความหมายแต่หากพูดกันแบบชาวบ้านนั่นก็คือการอ้างอิงจากหลักวิชา ที่ได้ร่ำเรียนมาทั้งจากหนังสือและจากครูอาจารย์ผู้สอน แน่นอนว่าศาลได้ให้เหตุผลว่าศาลยอมรับคำวิจารณ์เเต่ต้องเป็นในวงกว้างไม่ใช่ เเเค่นักวิชาการกลุ่มหนึ่งที่มีอคติต่อศาล ในวงกว้าง รวมถึงประชาชน เเละผู้ที่เข้าใจถึงระบบการทำงานของศาล
ประเด็นนี้ ผู้เขียนอยากจะบอกกับศาลว่าในวงกว้างรวมถึงประชาชนและผู้ที่เข้าใจถึงระบบ การทำงานของศาล นั้นมีกี่คน เมื่อการทำงานของศาลนั้นตัวศาลเองเป็นองค์กรปิดที่ไม่ยอมเปิดให้องค์กรภาย นอกเข้าไปตรวจสอบ แล้วคำว่าวงกว้างนี่หมายถึงใครครับ ด้วยความเคารพ หากศาลไม่เปิดองค์กรให้ประชาชนเข้าใจการทำงานนั่นหมายความว่าประชาชนตาดำๆ ไม่มีสิทธิ์วิจารณ์ศาลได้เลย นี่ขนาดนักวิชาการยังโดนศาลขู่สักขนาดนี้ แล้วชาวบ้านจะเหลือเหรอครับนายท่าน แม้ท่านจะอ้างว่าใน กต เองมีผู้ทรงตุณวุิฒิที่ตั้งมาจากวุฒิสภา แต่ท่านพิจารณาสัดส่วนก่อนครับว่ามีจำนวนเท่าไหร่และคนนอกนั้นเป็นใครมาก่อน
ต่อข้อหาหมิ่นศาลนั้น คำว่าหมิ่นพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายว่า ก. แสดงกิริยาท่าทาง พูดจา หรือเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นเชิงดูถูกว่ามีฐานะต่ำต้อยหรือไม่ดีจริงไม่เก่งจริงเป็นต้น, ดูหมิ่น หรือ ดูหมิ่นถิ่นแคลน ก็ว่า. ในจดหมายเปิดผนึกของนายวีระพัฒน์เองนั้นผู้เขียนอ่านแล้วยังไม่มีการแสดงข้อ ความว่ามีลักษณะที่ศาลกล่าวอ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นศาลเองก็ยังทรงสิทธิ์ในการตีความซึ่งผู้เขียนก็เคารพใน จุดนี้
เมื่อศาลเองยกตัวเองให้เป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชนศาลก็พึงที่จะยอมรับ คำวิจารณ์ทั้งแง่ดีและแง่ร้ายและนำไปปรับปรุงและพัฒนาองค์กรเพื่อให้ตัวศาล เองมีความน่าเชื่อถือและเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชนได้อย่างแท้จริง และยิ่งในกรณีล่าสุดนั้นผู้เขียนเข้าใจ(เอง)ว่านานาชาติและนายวีรพัฒน์เอง ต้องการวิจารณ์มาตรา 112เกี่ยวกับความสมเหตุสมผลทั้งหลายในแง่ปรัชญาและแนวคิดแต่ศาลกลับตีความไป ได้ว่าอาจเป็นการหมิ่นศาล ผู้เขียนเกรงว่าอีกหน่อยศาลจะหมดซึ่งความศักดิ์สิทธิ์และความยุติธรรมไป มากกว่านี้ เมื่อศาลลงมาเป็นผู้เล่นเสียเอง ผู้เขียนขอฝากบทกลอนไว้ถึงศาลดังนี้ อันนินทากาเร เหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน แม้องค์พระปฏิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา หวังว่าหากศาลได้อ่านบทกลอนนี้แล้วศาลควรที่จะยอมรับคำวิจารณ์และนำไปพัฒนา ตัวองค์กรให้เป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างแท้จริง
สุดท้ายนี้ผู้เขียนมักจะนึกถึงคำขอท้ายฟ้องว่า โจทก์ไม่มีหนทางอื่นจะบรรเทาความเสียหายได้จึงมาขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง หากศาลยังถือตนว่าตนเองศักดิ์สิทธิใครก็วิจารณ์ไม่ได้แล้วไซร้ อีกหน่อยหากประชาชนผู้หาเช้ากินค่ำเห็นว่าศาลสร้างความศักดิ์สิทธิด้วยวิธี การเช่นนี้อีกหน่อยศาลคงได้เป็นที่พึ่งของประชากรผู้หวังรวยทางลัดอีกประการ เป็นแน่โดยการนำเอาแป้งมาทาตามใต้ถุนบันไดรั้วของศาลเพื่อหาเลขเด็ดเฉกเช่น ที่เคยทำมากับบรรดาศาลเจ้าต่างที่ว่าศักดิ์สิทธินักหนา ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

ด้วยความเคารพ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น