แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เผด็จการธรรมวินัย

ที่มา ประชาไท

 

วิจักขณ์ พานิช
กลุ่มพุทธศาสน์ของราษฎร
 
"อยากชวนคณะสงฆ์เป็นอิสระจากรัฐ เพื่อให้ชาวพุทธกลุ่มต่างๆมีอิสระตรวจสอบกันเอง และ ต้องการยืนยันว่าถ้าคณะสงฆ์ยังขึ้นต่อรัฐก็ต้องอ้างอิงกรอบพระธรรมวินัยใน การจำกัดอำนาจ ตรวจสอบบทบาทของมหาเถรและสังฆะภายใต้ระบบนี้อยู่ครับ"     -- สุรพศ ทวีศักดิ์
 
"ธรรมวินัยมันมีบางอย่างที่ชัดเจน ไม่ต้องตีความ มีบางอย่างที่ต้องตีความ มีหลักฐานบันทึกเทียบเคียงความสอดคล้องได้ อย่างส่วนที่เป็นวินัยสงฆ์นี่ชัดเจนเหมือนกฎหมายเลยว่าทำอย่างนี้ผิด อย่างนั้นถูก มันถึงเป็นหลักความประพฤติที่ตรวจสอบเห็นตรงกันได้  ...ธรรม วินัยไม่ได้อิงมหาเถร ไม่ได้อิงสมบูรณาฯ เพราะธรรมวินัยเถรวาทที่อ้างอิงกันอยู่คือธรรมวินัยที่สืบเนื่องมาจากการ สังคายนาครั้งที่ 1 มีมาก่อนสมบูรณาไทยเป็นพันๆ ปี ธรรมวินัยจึงเป็นกรอบอ้างอิงหลักเสมอ เพราะธรรมวินัยไม่เกี่ยวกับอำนาจรัฐ แต่เป็น “ระบบสังฆะเถรวาท” ที่เป็นอิสระจากรัฐมาแต่ก่อน"      -- สุรพศ ทวีศักดิ์
 
"หลักธรรมวินัยของพุทธศาสนาเถรวาทเป็นหลักสากลที่ชาวพุทธเถรวาท ทั่วโลกต่างยึดถือร่วมกัน ไม่ต่างจากที่สังคมประชาธิปไตยยึดหลักประชาธิปไตยหรอก"   -- สุรพศ ทวีศักดิ์
 
………………………..
 
จากข้อความทั้งหมดข้างต้น ตรรกะที่ผิดพลาดของอ.สุรพศ เกิดขึ้นจากการที่ อ.สุรพศไม่กล้าวิพากษ์หลักธรรมวินัยแบบมหาเถร แต่กลับดีเฟนด์การใช้หลักธรรมวินัยแบบมหาเถรในฐานะกฏเกณฑ์สูงสุดของพุทธ เถรวาท (สากล? เทียบเท่าหลักประชาธิปไตย?) โดยอ้างว่าคณะสงฆ์สามารถตรวจสอบได้โดยโปร่งใส ไม่มี 112 
 
คำถามของผมคือ ตั้งแต่มีมหาเถรสมาคมเป็นต้นมา เราสามารถตรวจสอบอะไรพระได้บ้าง? หรือพระในคณะสงฆ์ (ใน scale ใหญ่) สามารถตรวจสอบอะไรกันเองได้บ้าง? พระใช้หลักธรรมวินัยในการตรวจสอบกัน แล้วช่วยให้สังฆะมีวัตรปฏิบัติที่งดงามและสร้างสรรค์ขึ้นได้จริงหรือไม่? การตรวจสอบที่อาจารย์สุรพศบอกว่าทำได้ทุกเรื่อง เอาเข้าใจจริงทำอะไรได้บ้าง นอกจากการจับผิดพระมีเซ็กซ์
 
สมมติฐานของผม คือ ในโครงสร้างแบบที่เป็นอยู่ จริงๆ แล้วพระตรวจสอบไม่ได้ครับ และพระก็ไม่ได้ใช้ธรรมวินัยตรวจสอบกันและกันด้วย สิ่งที่ทำได้อย่างเดียวก็คือการไล่ปรับอาบัติปาราชิก หรือพูดง่ายๆ คือ จับพระมีเซ็กซ์เท่านั้นที่ตรวจสอบได้ นอกนั้นดิ้นได้หมด สิ่งที่อ.สุรพศ เขียนมาทั้งหมด ก็เพื่อ validate ข้อเรียกร้องกรณีให้มหาเถรใช้หลักธรรมวินัยตรวจสอบอธิการ มหาจุฬาฯ มีเซ็กซ์เท่านั้น  
 
ธรรมวินัยแบบรัฐทุกวันนี้ยึดโยงอยู่กับอุดมการณ์ของรัฐแบบสมบูรณาญา สิทธิราชย์ และอุดมการณ์นี้คือชุดอุดมการณ์ที่ใช้ตีความธรรมวินัยแบบเถรสมาคม พระสงฆ์มีอำนาจล้นฟ้า แล้วยังมีหลักธรรมวินัยที่ตีความเข้าข้างตัวเองเป็นหลักสูงสุด ตัดสินโดยองค์กรสงฆ์ที่ปกครองตัวเอง มีการตีความแบบเฉพาะของตัวเอง และไม่มีภาระหน้าที่หรือความรับผิดชอบอะไรต่อสังคมประชาธิปไตยเลย  ตราบใดที่ยังประพฤติพรหมจรรย์ (ที่ถูกตีความเหลือแค่ไม่มีเซ็กซ์) พระสงฆ์ทำอะไรก็ได้ ไม่ผิด
 
ยกตัวอย่างง่ายๆ กรณี ว.วชิรเมธี ที่เราด่ากันสนุกปากทุกวันนี้ เราจะหวังให้มหาเถรตรวจสอบธรรมวินัยของ ว.วชิรเมธี ไหมครับ อย่างที่ออกมาเรื่อง "อร่อยจนลืมกลับวัด" ว.วชิรเมธี ก็อ้างหลักธรรมวินัยเหมือนกัน และท่านก็ตีความธรรมวินัยแบบเดียวกับมหาเถรนั่นแหละ นั่นก็คือ ฉันจะทำอะไรก็ไม่ผิด ตราบใดที่ฉันยังไม่มีเซ็กซ์ เอาเข้าจริง ถ้าเราไปคาดหวังกับกระบวนการตรวจสอบตามหลักธรรมวินัยแบบมหาเถร เราตรวจสอบอะไรว.วชิรเมธี ในแง่ธรรมวินัยได้บ้าง? 
 
ธรรมวินัยในชุดอุดมการณ์นี้ ไม่ได้เอาไว้ตรวจสอบตัวเองหรอกครับ แต่เอาไว้ปกป้องสถานะอันไม่เป็นประชาธิปไตยของตัวเองต่างหาก
 
กรณีนี้ต่างกับพระในวัดบ้านนอกนะครับ ที่เขายังมีธรรมวินัยที่มีความสัมพันธ์แบบมนุษย์ มนุษย์อยู่ นั่นเขาก็ยังพอตรวจสอบกันได้ คือตักเตือนกันได้ เพราะพระบ้านๆ เขาไม่ได้มองธรรมวินัยเป็นกฏเพียวๆ ไร้บริบทความสัมพันธ์อย่างที่ถูกตีความโดยมหาเถร หรือโดยพระ/มหาเปรียญที่ถูกกล่อมเกลามาจากการศึกษาแบบคณะสงฆ์ไทยโดยไม่ตั้ง คำถาม
 
เมื่อธรรมวินัยถูกอ้างอย่างไร้บริบท ราวกับกฏหมายอันศักดิ์สิทธิ์สูงสุดโดยตัวมันเอง เป็น “สากล” เป็น “กติกากลาง” ที่ชาวพุทธต้องยอมรับอย่างไม่อาจตั้งคำถามหรือตีความได้  ธรรมวินัยก็กลายเป็นอำนาจนิยมธรรมวินัย เผด็จการธรรมวินัย เป็นสีลัพพตปรามาส (ความเชื่อว่าการถือศีลจะทำให้คนบริสุทธิ์) ซึ่งถือเป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างหนึ่ง ไม่ต่างจากอันตรายที่เกิดขึ้นเวลาธรรมะถูกเทศนา ถูกสั่งสอน ถูกอ้างถึงอย่างไร้การคำนึงถึงบริบทเลย
 
ข้อสรุปของผมคือ การตีความหลักธรรมวินัยแบบรัฐเช่นนี้แหละครับที่เป็นปัญหา และการอ้างความเป็น absolute truth ของหลักธรรมวินัยเพื่อให้คณะสงฆ์ของรัฐใช้อ้างกันเอง ตรวจสอบกันเองนี้แหละที่เป็นปัญหา  มันทำให้สงฆ์เป็นอภิสิทธิ์ชนตรวจสอบอะไรไม่ได้ พูดอะไรไม่เคยผิด ทำอะไรไม่เคยผิด ยกเว้นถูกจับได้ว่ามีเซ็กซ์  เมื่ออาจารย์สุรพศไม่กล้าวิพากษ์หลักธรรมวินัยแบบรัฐ แต่กลับอ้างว่าแม้ศาสนาจะไม่แยกจากรัฐ คณะสงฆ์ภายใต้มหาเถรก็มีสิทธิ์จะใช้ธรรมวินัยตรวจสอบกันเองตามหลักเสรีภาพ ทางศาสนา  ข้อคิดเห็นของอ.สุรพศ ก็ยิ่งไปเสริมอำนาจผูกขาดการตีความธรรมวินัยแบบมหาเถร ผลักผู้ที่เห็นต่างจากการอ้างธรรมวินัยแบบนี้ให้เป็นอื่น และที่น่าเศร้าที่สุด คือ มันขัดแย้งโดยตรงกับหลักการพื้นฐานของกระบวนการแยกศาสนาออกจากรัฐ (secularization) อันเป็นข้อเสนอสูงสุดที่จะช่วยแก้ไขปัญหาคาราคาซังของสถานะอันไม่เป็น ประชาธิปไตยของพุทธศาสนาในปัจจุบัน 
 
และที่เป็นอันตรายยิ่งกว่าพระมีเซ็กซ์ ก็คือ แนวคิดแบบนี้แหละครับที่ไปส่งเสริม “วัฒนธรรม” อำนาจนิยมศาสนาแบบ buddhist fundametalism ไม่ว่าจะเป็นหลักธรรมาธิปไตย เผด็จการโดยธรรม รัฐศาสนาแอบแฝง แนวคิดแบบ buddhist puritans เช่น ศีลธรรมจับผิดคนสูบบุหรี่กินเหล้าของสสส. มาตรการเรต “ห” ของคณะกรรมการเซ็นเซอร์ …ซึ่งทั้งหมดส่งผลกระทบโดยตรงต่อบรรยากาศทางสังคมในทิศทางที่ขัดแย้งอย่าง รุนแรงกับการพัฒนาความเป็นประชาธิปไตย  โอเคครับ อธิการ มจร. อาจถูกตรวจสอบ อาจถูกจับสึก แต่แล้วยังไงต่อ? ตราบใดที่อุดมการณ์ในการตีความธรรมวินัยยังเป็นแบบนี้ อำนาจรัฐยังผูกติดกับพุทธศาสนาแบบนี้ พระสามารถถูกตรวจสอบได้ทุกเรื่องอย่างที่อาจารย์สุรพศอ้างจริงๆ หรือเปล่า? 
 
สมมติฐานของผมอาจจะผิดก็ได้ ถ้าใครสามารถยกตัวอย่างว่า มีการอ้างธรรมวินัยแบบมหาเถรตรวจสอบกันและกัน แล้วมีกรณีที่ทำให้พระถูกจำกัดอำนาจล้นฟ้า และประพฤติตนอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมพระ และสังคมโลกมากขึ้น ก็ช่วยบอกผมด้วยละกันครับ 
 
……………….
 
คำถามต่อไปคือ แล้วแบบนี้ไม่ต้องตรวจสอบพระเลยหรือ ชาวพุทธจะทนเห็นพระแอบมีกิ๊ก มีสีกาอยู่ได้ยังไง?  แน่นอนว่าในฐานะพุทธบริษัท ๔ หน้าที่ตรวจสอบพระเป็นสิ่งสำคัญ ทว่าหากจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวมอย่างแท้จริง ชาวพุทธจำเป็นต้องมีโยนิโสมนสิการ และกระทำการอย่างสอดคล้องไปกับหลักการประชาธิปไตยด้วย ข้อเสนอของผมมีดังต่อไปนี้
 
1. จากข้อเรียกร้องของ อ.สุรพศ ที่ว่า "พระและวัดรับเงินภาษีจากประชาชนปีละ 4000 ล้าน ก็จำเป็นต้องถูกตรวจสอบจากประชาชนเหมือนนักการเมืองและข้าราชการทั่วไป"  
ทว่าประชาชนในที่นี้ต้องหมายถึงประชาชนทั้งหมดครับ ไม่ใช่แค่ชาวพุทธที่ยึดหลักธรรมวินัยเท่านั้น [สมมติว่าหากผมไม่นับถือพุทธศาสนา แต่ไม่เห็นด้วยกับการใช้เงินภาษีของผมไปใช้จัดงานพุทธชยันตี หรือสวดมนต์ข้ามปี ผมจะทำอะไรได้บ้าง? และการอ้างเสรีภาพในการนับถือศาสนาของชาวพุทธในกรณีใช้ได้หรือไม่?]  ในความคิดเห็นของผม  หากพระและวัดดำเนินงานโดยใช้เงินภาษีจากประชาชน ก็ต้องถูกตรวจสอบได้จากประชาชนทุกคน หากมีรายได้ถึงเกณฑ์ ก็ต้องเสียภาษีเงินได้ให้กับรัฐ  ไม่ใช่บอกว่ารับเงินภาษีจากประชาชนแล้วต้องตรวจสอบได้ แต่กลับสนับสนุนให้ตรวจสอบกันเองโดยใช้หลักธรรมวินัย 
 
2. ในสถานการณ์ปัจจุบันที่พุทธศาสนายังผูกพันอยู่กับอำนาจรัฐท่ามกลางการ เปลี่ยนผ่านไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย หากชาวพุทธต้องการตรวจสอบพระภายใต้อำนาจมหาเถรสมาคมอย่างสร้างสรรค์ตามหลัก ธรรมวินัยของสมณะโคดมนั้น ควรกระทำ และสามารถกระทำได้ ซึ่งหากกระทำการอย่างมีอุปายโกศล ก็จะเป็นการยืนยันว่า การประพฤติพรหมจรรย์ คือการประพฤติตนอย่างติดดิน เรียบง่าย เพื่อการประพฤติปฏิบัติธรรมของนักบวชทางศาสนา ไปพร้อมๆ กับการส่งเสริมจิตวิญญาณประชาธิปไตยด้วย 
 
วิธีการตรวจสอบจำเป็นต้องยึดโยงอยู่กับสติปัญญาของภาคประชาชน สื่อต้องทำหน้าที่ตรวจสอบ มีการยกกรณีศึกษาจากปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นจริง รับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชน  เปิดทัศนะการตีความธรรมวินัยที่หลากหลายจากนักวิชาการ นักคิดหลากสาขา ประชาชนทั่วไป (ไม่ใช่อะไรๆ ก็ไปสัมภาษณ์ความเห็นของพระชื่อดัง) ทั้งนี้ต้องรวมถึงความคิดเห็นจากคนศาสนาอื่น เยาวชน พุทธนิกายอื่น หรือคนนอกศาสนา ที่ได้รับผลกระทบจากพฤติกรรมของพระสงฆ์ หรือนโยบายของรัฐที่เกี่ยวข้องกับหลักพุทธศาสนา  --- ซึ่งข้อ 2 นี้จะว่าไปถือว่าเป็นการแก้ปัญหาเพียงได้เฉพาะหน้าเท่านั้น ยังไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ฝังรากลึกในเชิงโครงสร้าง
 
3. ข้อเสนอสุดท้าย ซึ่งถือเป็นข้อเสนอที่สำคัญที่สุด และจำเป็นจะต้องผลักดันให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด เพื่อจะช่วยปลดปล่อยให้พลังแห่งการตื่นรู้ของพุทธศาสนากลับคืนสู่ประชาชนและ เติบโตงอกงามอย่างเป็นอิสระในโลกสมัยใหม่อย่างสอดคล้องกับความเป็นจริง นั่นคือ กระบวนการแยกรัฐกับศาสนาออกจากกัน (secularization)  ทุกวันนี้การที่พระผิดธรรมวินัยกันดาษดื่น มีอำนาจล้นฟ้า ตรวจสอบไม่ได้ ไม่ใช่เป็นเพราะมหาเถรไม่เอาจริงในการตรวจสอบตามหลักธรรมวินัยหรอกครับ แต่เป็นเพราะอำนาจและสถานะอันไม่ยึดโยงอยู่กับประชาชนของพุทธศาสนาใน ปัจจุบันต่างหาก เมื่อพุทธศาสนาไม่ยึดโยงอยู่กับประชาชน รวมศูนย์อย่างอิงแอบอยู่กับอำนาจรัฐ ผูกขาดการตีความแบบเดียว แม้จะอ้างหลักธรรมวินัยว่าบริสุทธิ์อย่างไร ธรรมวินัยนั้นก็ไม่อาจช่วยให้พรหมจรรย์ของสงฆ์สง่างามและสร้างสรรค์อย่าง สัมพันธ์อยู่กับสังคมสมัยใหม่ได้  
 
ในสถานการณ์ปัจจุบัน secularization จะเป็นหนทางเดียวในการส่งเสริมทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา (และทุก ๆ ศาสนา) ให้กลับมามีพลวัตแห่งการตื่นรู้ สัมพันธ์อยู่กับบริบทความทุกข์ของผู้คน และความเปลี่ยนแปลงทางสังคม ลดปัจจัยที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางความเชื่อ (โดยเฉพาะที่ส่งผลเสียต่อกรณีความขัดแย้งในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้)  ธรรมวินัยถูกตีความอย่างมีจิตวิญญาณ เกิดการตักเตือนและตรวจสอบกันภายในชุมชนด้วยความสัมพันธ์ฉันกัลยาณมิตร ปลดปล่อยบุคลากรทางศาสนาสู่สถานะความเป็นคนธรรมดาสามัญ ส่งเสริมหลักการความเสมอภาค การมีส่วนร่วม จิตสำนึก และความรับผิดชอบต่อสังคมที่ตนอยู่ ส่งเสริมบรรยากาศอันเปิดกว้างทางความคิด ความเชื่อ และเคารพความเห็นต่าง อันสอดคล้องกับเสรีภาพในการนับถือศาสนา   ส่งเสริมให้สติปัญญาทั้งทางโลกและทางธรรม เติบโตและเจริญงอกงามอย่างยั่งยืน ไปพร้อมๆ กับการส่งเสริมจิตวิญญาณความเป็นประชาธิปไตยในสังคมไทยอย่างแท้จริง 
 
.................................
 
รายละเอียดของข้อเสนอ การแยกรัฐกับศาสนาออกจากกัน อ.เก่งกิจ กิติเรียงลาภ ได้เคยเขียนข้อเสนอนี้ไว้แล้วโดยละเอียด ในบทความที่มีชื่อว่า "ปัญหาธรรมกาย-พระไพศาล-มหาเถรสมาคม-สุรพศ และบททดลองเสนอเกี่ยวกับสถานะของสถาบันศาสนาในสังคมไทย" 
ซึ่งจะขอยกบางส่วนมาให้ใคร่ครวญกันอีกครั้ง เป็นการปิดท้ายบทความชิ้นนี้
 
"รัฐกับศาสนาเป็นสิ่งที่มีอิสระจากกัน/ไม่ขึ้นต่อกัน รัฐจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการทางศาสนา ไม่เป็นสปอนเซอร์ให้แก่ศาสนา ในทางกลับกัน ศาสนาต่างๆ มีสิทธิเสรีภาพในการดำเนินกิจกรรมของตนเองได้เต็มที่ ตราบเท่าที่ไม่ขัดกับกฎหมายหรือไปละเมิดกับชีวิต ทรัพย์สิน และเสรีภาพของบุคคลอื่น – สรุปง่ายๆคือ วัดและองค์กรศาสนาต้องการเลี้ยงตัวเอง จ่ายภาษี และทำตัวเองเสมือนๆกับองค์กรอื่นๆในสังคม"
 
"รัฐจะต้องแปรรูปกิจการพุทธศาสนาทั้งหมดให้เป็นของเอกชน (privatization) คือ รัฐต้องไม่ให้เงินกับวัดและสถาบันทางศาสนา สถาบันศาสนาและคำสอนของศาสนาควรยอมรับว่า ศาสนาของตนจะอยู่ได้ในสังคมประชาธิปไตยก็ต่อเมื่อคำสอนของตนเองเป็นสิ่งที่ ทนต่อการพิสูจน์ได้อย่างไม่มีการบังคับ แต่ต้องขึ้นกับศรัทธาของศาสนิกชนเองที่จะเลือกเชื่อหรือไม่เชื่อ จะสนับสนุนทั้งด้านการเงินและทรัพยากรแก่สถาบันเหล่านั้นหรือไม่ก็ได้ ถ้าศาสนิกชนเห็นว่ามีประโยชน์ก็ให้การสนับสนุน แต่หากไม่มีประโยชน์ก็เลิกสนับสนุน ไม่ต่างจากคนไปซื้อขายของในตลาดที่มีสินค้ามากมายให้เลือก"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น